News & Article Details
Green Logistics: เทรนด์ใหม่ที่ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน
การขนส่งเป็นภาคส่วนที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก แต่กิจกรรมเหล่านี้ก็มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยเหตุนี้ การนำ Green Logistics หรือการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้จึงกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของธุรกิจทั่วโลก

Green Logistics เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain) ซึ่งเป็นการบูรณาการความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเข้ากับการจัดการห่วงโซ่อุปทานในทุกขั้นตอนอย่างครบวงจร ตั้งแต่ ขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต การขนส่ง และการจัดการผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุการใช้งาน โดย Green Logistics จะช่วยลดการสร้างมลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยเปิดโอกาสทางการค้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสอดคล้องกับข้อกำหนดทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นเทรนด์ของโลกและช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว
กิจกรรมการขนส่งที่เกิดขึ้นจากการใช้ยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถบรรทุก เรือ และเครื่องบินส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การขนส่งจึงกลายเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยานพาหนะบนท้องถนนปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดเพราะเครื่องยนต์แบบสันดาปภายในต้องอาศัยการเผาไหม้ของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียม เช่น น้ำมันเบนซิน ตามมาด้วยเรือและเครื่องบิน ปริมาณการปล่อยมลพิษของภาคการขนส่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานทั่วโลก และการใช้เชื้อเพลิงของภาคการขนส่งก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
จากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประโยชน์ระยะยาวที่จะเกิดขึ้นดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไรให้ทันเทรนด์ Green Logistics
- การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการจัดการการขนส่ง
- การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร เน้นการขับขี่ที่ปลอดภัยและประหยัดพลังงาน
- ยานพาหนะที่ใช้พลังงานสะอาด เช่น ไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงทางเลือก
ตัวอย่างการนำ Green Logistics ไปใช้ในธุรกิจไทย
ไทยเบฟเป็นตัวอย่างของผู้ประกอบการไทยที่นำ Green Logistics ไปใช้ในธุรกิจ โดยได้ดำเนินงานตามแนวทางดังนี้
- การเปลี่ยนมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้า
ไทยเบฟได้ทดลองใช้รถบรรทุกไฟฟ้าในการขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าไปยังลูกค้า เป็นระยะทางประมาณ 11,000 กม. การใช้รถบรรทุกไฟฟ้านี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 4,400 กิโลกรัม ซึ่งเป็นผลสำเร็จที่สำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- การปรับปรุงคลังสินค้า
ไทยเบฟได้เปลี่ยนจากการใช้รถยกที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นรถยกไฟฟ้าที่ชาร์จไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้จากหลังคาโรงงาน ปัจจุบันมีรถยกไฟฟ้าใช้งานอยู่ 29 คัน และมีแผนเพิ่มจำนวนการใช้เป็น 40 คันในปีถัดไป
- การติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์และใช้หลอดไฟ LED
ไทยเบฟได้ติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์และเปลี่ยนไปใช้หลอดไฟ LED ที่ศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาคในจังหวัดลำปาง ซึ่งช่วยประหยัดไฟฟ้าได้มากกว่าหลอดไฟทั่วไปถึงร้อยละ 75
- การติดตามและการประเมินผล
ไทยเบฟได้รวบรวมข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 3) จากผู้ให้บริการขนส่งภายนอก โดยมีการติดตามพฤติกรรมและสมรรถนะการขับขี่ของผู้ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์
การปรับตัวเข้ากับเทรนด์ Green Logistics ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ยังเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจไทยในระยะยาว ด้วยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
แหล่งอ้างอิง https://sustainability.thaibev.com/pdf/sr2022th.pdf#page=184